0

แนะนำตัวผู้จัดทำ

แนะนำตัวผู้จัดทำ




จัดทำโดย

นาย พัชรพล  อินทรัตน์  ปวช.3/8  เลขที่ 20

แผนกช่าง อิเล็กทรอนิกส์ <เทคนิคคอมพิวเตอร์>

เสนอ

อ. เอกรินทร์  สินทะเกิด

วิชา งานบริการคอมพิวเตอร์

วิทยาลัยเทคนิคสมุทรสาคร
0

การทำงานของเคส

เคส



เคสแบ่งตามลักษณะการใช้งานได้ 2 ประเภทตามชนิดของเคสคือ แบบ AT และ แบบ ATX เนื่องจากโดยปกติเมื่อซื้อเคสเปล่า แหล่งจ่ายไฟ หรือ power supply จะติดมากับเคสด้วยขนาดของแหล่งจ่ายไฟในปัจจุบันจะมีขนาด 230 และ 250 วัตต์ และ 300 วัตต์ ถ้ามีอุปกรณ์ต่อพ่วง ในคอมพิวเตอร์เยอะก็ควรเลือกวัตต์สูงไว้ก่อน เมื่อแหล่งจ่ายไฟติดอยู่กับเคส ก็อาจจะเรียกรวม ๆ ไป เช่น เคส 300 วัตต์ ATX เป็นต้น
ข้อแตกต่างระหว่าง Case แบบ AT และ ATX และสิ่งที่จะสังเกตุได้จากภายนอกก็คือ
- มักจะใช้กับเครื่องรุ่นเก่า ขนาดจะเล็กกว่า ATX
- บางเครื่องปุ่มสวิทย์เปิดปิด จะค้างแสดงคุณสมบัติเปิด-ปิด
- หลังจากปิดเครื่องจากคำสั่งในโปรแกรมแล้วต้องกดปุ่มปิดอีกครั้งที่หน้า Case ด้วย
- มักจะใช้กับเครื่องรุ่นใหม่ ๆ
- ปุ่มสวิทซ์เปิดปิดจะไม่ค้าง ( กดกี่ครั้งก็ไม่รู้ว่ากดไปหรือยังคือปุ่มจะเด้งกลับ )
- ปิดเครื่องจากคำสั่งในโปรแกรมเท่านั้น

           ภายในเคสจะมีช่องที่เรียกว่า เบย์ (bays) ซึ่งเป็นช่องที่ไว้สำหรับใส่ไดร์ฟต่าง ๆ เช่นCD-ROM, Floppy disk drive, tape drive คอมพิวเตอร์ทั่วไปจะมีเบย์ประมาณ 3-4 ช่องและช่องสำหรับ Floppy disk drive ประมาณ 1-2 ช่อง นอกจากนี้ภายในยังมีเบย์เรียกว่า เบย์ภายใน สำหรับใส่ฮาร์ดดิสก์อีกด้วย
                คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องจะต้องมีแหล่งจ่ายไฟ เพราะกระแสไฟตามบ้านจะจ่ายไฟฟ้ากระแสสลับ 150 ถึง 120 โวลต์ ซึ่งไม่เหมาะกับการทำงานของคอมพิวเตอร์ที่ต้องการไฟฟ้ากระแสตรง ประมาณ 5-12 โวลต์ คอมพิวเตอร์จึงต้องมีอุปกรณืที่เป็นตัวแปลงและจ่ายไฟเรียกว่า แหล่งจ่ายไฟ (power supply) ซึ่งจะมีพัดลมตัวเล็กๆ อยู่ใกล้เพื่อระบายความร้อน ที่มาจากหน่วยประมวลผล และอุปกรณ์อื่น ๆ
0

การทำงานของอุปกรณ์ต่อพ่วงต่างๆ

ปริ้นเตอร์





Inkjet Printer

          คือ  เครื่องพิมพ์ที่ใช้วิธีพ่นน้ำหมึกลงไปบนวัตถุงาน  โดยหมึกจะถูกฉีดออกจากรูขนาดเล็กบนหัวพิมพ์ ซึ่งหมึกที่ใช้จะเป็นแม่สี สี คือ แดง เหลือง และน้ำเงิน  บางเครื่องจะใช้ กล่อง  คือ  น้ำหมึกสีดำกับตัวแม่สี สามารถพิมพ์ได้เร็ว  คือ  ประมาณ 9 ppm

          คุณลักษณะเด่นของเครื่องพิมพ์แบบนี้คือ
            -  สามารถพิมพ์ภาพสีได้  โดยมีตลับหมึกสีแยกอิสระ  สามารถถอดเปลี่ยนใหม่ได้
            -  คุณภาพการพิมพ์คมชัดกว่าแบบใช้หัวเข็ม  ให้ความละเอียดสูง  เหมาะสมสำหรับงานด้านกราฟิค และงานด้านการนำเสนอ
            -  สามารถพิมพ์บนผิววัสดุอื่นๆ นอกจากบนกระดาษได้  เช่น  แผ่นใส  สติ๊กเกอร์

          หลักการทำงาน

          เมื่อเราทำการสั่งพิมพ์ด้วยการกดคลิกที่ปุ่ม OK ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์จะเกิดกระบวนการทำงานเป็นลำดับต่อเนื่องดังนี้
            -  ซอฟต์แวร์ที่ใช้จะส่งข้อมูลให้เป็นรูปแบบที่เครื่องพิมพ์สามารถเข้าใจได้
            -  ไดรฟ์เวอร์จะส่งข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ไปยังเครื่องพิมพ์  ผ่านอุปกรณ์เชื่อมต่อ
            -  เครื่องพิมพ์จะรับข้อมูลจากคอมพิวเตอร์และทำการเก็บข้อมูลนั้นไว้ใน บัฟเฟอร์  ซึ่งอยู่ในหน่วยความจำ RAM ขนาดตั้งแต่ 512 KB จนถึง 16 KB ขึ้นอยู่กับรุ่น
            -  หากเครื่องพิมพ์ไม่ตอบสนองการทำงานในช่วงระยะเวลาหนึ่ง  อาจเป็นเพราะเครื่องกำลังเข้าสุ่วงรอบของการทำความสะอาดหัวพิมพ์แบบสั้นๆ
            -  เมื่อกระดาษผ่านเข้าไปในเครื่องคอมพิมพ์  จะเริ่มพิมพ์จากตำแหน่งเริ่มต้นของหน้าแรก  สเต็ปเปอร์มอเตอร์หัวพิมพ์จะบังคับสายพานให้เลื่อนชุดหิวพิมพ์ไปมาอย่างเป็น จังหวะ
            -  การพิมพ์ของอิงก์เจ็ต  จะพิมพ์ทีละจุด  ทีละแถบเรียงต่อเนื่องติดกันไปบนกระดาษ  ซึ่งหัวพิมพ์จะฉีดหมึกในโหมดสี CMYK ได้อย่างแม่นยำ

            -  เมื่อสิ้นสุดการพ่นหมึกในหนึ่งแถวกระดาษ  เครื่องก็จะเลื่อนกระดาษขึ้นพิมพ์แถวต่อมา
            -  กระบวนการนี้จะดำเนินไปอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งพิมพ์เสร็จหมดทั้งหน้า 
            -  เมื่อการพิมพ์เสร็จสมบูรณ์  หัวพิมพ์จะหยุด  สเต็ปเปอร์มอเตอร์ที่ดึงกระดาษจะหมุนลุกกลิ้งผลักกระดาษที่พิมพ์เสร็จ แล้วออกไปด้านหน้าเครื่องพิมพ์

Laser  Printer 

            เครื่องพิมพ์แบบเลเซอร์จะเป็นเครื่องพิมพ์ที่มีกลไกการทำงานซับซ้อนที่สุด  เครื่องพิมพ์นี้อาศัยเทคโนโลยีไฟฟ้าสถิตย์ที่พบในเครื่องถ่านเอกสารทั่วไป โดยลำแสงไดโอดเลเซอร์จะฉายไปยังกระจกหมุน เพื่อสะท้อนไปยังลุกกลิ้งไวแสง  ซึ่งจะปรับตามสัญญาณภาพหรือตัวอักษรที่ได้รับจากคอมพิวเตอร์  และกราดตามแนวยาวของลูกกลิ้งอย่างรวดเร็ว  สารเคลือบบนลุกกลิ้งจะทำปฏิริยากับแสงแล้วเปลี่ยนเป็นประจุไฟฟ้าสถิตย์  ซึ่งทำให้ผงหมึกเกาะติดกับพื้นที่ที่มีประจุ  เมื่อกระดาษพิมพ์หมุนผ่านลูกกลิ้ง  ความร้อนจะทำให้ผงหมึกหลอมละลายติดกับกระดาษ

           หลักการทำงาน
           หลักการทำงานก็คือ  ตัวดรัม  เริ่มต้นจะถูกทำให้ประจุไฟฟ้าเป็นบวก  ทั่งทั้งแกนเมื่อตัวเลเซอร์ยิงแสงเลเซอร์ผ่านกระจกเลนส์  ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับลุกบอลกระจกแบบที่อยู่ในสถานบันเทิง  เมื่อเลเซอร์ยิงแสงไปตกกระทบกระจกเลนส์ก็จะเกิดการหักเหของแสงในทิศต่างๆ แสงที่หักเหจากเสนส์นี้ก็จะตกกระทบมาที่ตัวดรัม  โดยตัวดรัมจะค่อยๆ หมุนไปตามการยิงเลเซอร์  ความละเอียดในการหมุนตัวดรัมนี้เป็นที่มาของความละเอียดในการพิมพ์ใน ปัจจุบัน
           ข้อดี-ข้อเสียของเครื่องพิมพ์แบบเลเซอร์
           ข้อดี  ได้งานพิมพ์ที่สวยงามรวดเร็ว
           ข้อเสีย  ต้นทุนสูง  ไม่สามารถพิมพ์สำเนาครั้งละหลายๆ แผ่นได้ในครั้งเดียว  และราคาเครื่องค่อนข้างแพงกว่าแบบอื่นๆ

Dot matrix printer

         หลักการพิมพ์จะใช้เข็มกระแทกผ้าหมึกเพื่อเกิดจุดที่กระดาษ  และรวมกันเป็นตัวอักษร  หรือภาพ  ขณะการใช้งานการเกิดเสียงค่อนข้างดัง  เนื่องจากการใช้เข็มกระแทก  ปัจจุบันนี้มีผ้าหมึกที่เป็นสีแล้ว  แต่คถณภาพไม่ค่อยดีนัก

        คุณลักษณะเด่นของเครื่องพิมพ์
       -  สามารถพิมพ์ลงบนกระดาษที่มีหลายสำเนาหลายชุดได  ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาพิมพ์หลายครั้ง  ซึ่งเครื่องพิมพ์แบบอื่นไม่สามารถทำได้
       -  มีความทนทานในการใช้งานสูง

       -  สามารถพิมพ์กับกระดาษต่อเนื่องได้

       โครสร้างการทำงาน
        ส่วนประกอบหลัก
        -  หน่วยประมวลผลกลาง
        -  หน่วยความจำ
        -  ภาค input/output

        -  ส่วนกลไก


แฟรชไดล์





USB Flash Memory Drive แบ่งออกเป็น 4 ส่วนหลักๆ
1. ส่วนเก็บข้อมูล (Memory) เป็นส่วนที่เรียกว่า Flahs Memory Chip เป็นส่วนที่ใช้เก็บข้อมูลทั้งหมด โดยการเก็บข้อมูลนั้นไม่จำเป็นต้องใช้ไฟเข้าไปเลี้ยงตลอดเวลา
2. ส่วนควบคุมการทำงาน ( Controller) เป็นส่วนที่รวม CPU, เฟิร์มแวร์และ controller มาอยู่ใน Chip ตัวนี้เพียงตัวเดียว ทำให้เมื่อต่อพ่วงกับ Port ที่เป็น USB สามารถเห็นได้คล้ายกับ Removable Storage ทั่วไป ซึ่งใช้สำหรับ Windows ME/XP/2000 ส่วน Linux เมื่อทำการ mont จะเห็นเหมือน Drive 1 drive
3. ส่วนควบคุมความถี่ (X-tal) ทำหน้าที่ควบคุมความถี่ 12 MHz ซึ่งเป็นความถี่เดียวกันกับที่ใช้ใน Mainboard โดยกลไก Timing นี้เอาไว้ดูแลและควบคุมข้อมูลเข้าออกจาก Cell memory
4. ส่วนเชื่อมต่อ (Connector) เป็นส่วนที่ต่อเข้ากับ USB Post ของเครื่อง PC หรือ Notebook

การทำงานของ Flash Memory
หลักในการทำงานของ Flash Memory เริ่มจากเซล Memory จะถูกจัดเรียงแบบ Grid โดยเซลแต่ละเซลในชิฟ Flash Memory จะเก็บข้อมูลแบบถาวรเหมือนกับห้องขังที่มีประตูกั้นกระแสไฟฟ้าเอาไว้เป็น กลุ่มของ Electron เช่น ถ้าใน 1 Cell สามารถบรรจุ Electron ได้ถึง 13 ตัว เมื่อมีกระแสไฟฟ้าเข้าไป Electron จะถูกปล่อยออกมาโดยแต่ละ Cell จะถูกไฟฟ้ากระตุ้นไม่เท่ากัน ซึ่งการกระตุ้นจะเกิดจากการแปลงค่าข้อมูลที่เข้ามาเป็นค่าตัวเลขที่เป็นเลข ฐาน 2 ตัว Controller จะมีการกำหนดว่า Electron ที่อยู่ภายในแต่ละ Cell ควรมีค่าเป็นเท่าใด เช่น ถ้ามีค่า Electron น้อยกว่าหรือเท่ากับที่กำหนดไว้ให้มีค่าของ Cell นั้นเป็น 1 นอกนั้นให้เป็น 0 เป็นต้นข้อมูลที่อยู่ในรูปของตัวเลขจะถูกเก็บไว้และมีค่าคงเดิมจนกว่าจะเกิด การกระตุ้นของไฟฟ้า เพื่อทำการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง เนื่องจากเมื่อมีการนำไฟฟ้าออก Cell จะทำการปิดไม่ให้ Electron นั้นออก หรือกลับเข้ามาได้เลย


0

การทำงานของ CPU

CPU
CPU คืออะไร
อุปกรณ์ตัวหนึ่งที่มีความสำคัญและจำเป็นในการทำงานของคอมพิวเตอร์ และใช้ในหน่วยประมวลผลและเป็นตัวควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ที่อยู่ในคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ต่อพ่วงที่ต่อร่วมกับคอมพิวเตอร์
Image
ชนิดของ CPU 
ชนิดของ CPU มี 2 ชนิดคือ แบบซ็อเก็ต และ แบบสล็อต
 แบบที่ 1 ช็อคเก็ต ( Socket )
CPU ประเภทนี้จะบรรจุในรูปแบบของสี่เหลี่ยมจัตุรัส ทำด้วยพลานสติกหรือเซรามิก  หากมองจากด้านบน CPU จะพบตัวอักษรที่เป็นรายละเอียดต่างๆไม่ว่าจะเป็น ยี่ห้อ ความเร็ว ค่าแรงไฟ ค่าตัวคูณ และอีกหลายๆอย่าง
Image
แบบที่ 2 แบบสล็อต
CPU มีการพัฒนาออกมาแบบแหวกแนว มีลักษณะเป็นแผ่นวงจรลี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่ มีพลาสติกสีดำ ห่อหุ้มไว้เป็นตลับ
ความแตกต่างของ ซ็อคเก็ตและสล็อตแบบซ็อคเก็ตคือ ซ็อคเก็ตจะอยู่ในตลับและถูกครอบด้วยพัดลมเพื่อระบายความร้อน
แบบสล็อตคือ จะเป็นแผ่นพลาสติกบางๆประกบกันและจะเสียบ CPU ลงไปอีกทีหนึ่ง
ชนิดของซีพียูที่แบ่งตามจำนวนของแกนการประมวลผล
แกนเดี่ยว    ลักษณะเป็นซีพียูที่มีแกนประมวลผลเพียงแกนเดียวอยู่ในชิป
หลายแกน   ลักษณะเปรียบเสมือนมีซีพียู 2 ตัว เพื่อช่วยกันทำงาน
ซีพียูแบบแกนคู่   ลักษณะเป็นซีพียูที่มีแกนประมวลผล 2 แกนอยู่ในชิปตัวเดียวกัน

ซีพียูแบบสามแกน  ลักษณะเป็นซีพียูที่มีแกนประมวลผล 3 แกนอยู่ในชิปอันเดียวกัน

ซีพียูแบบสี่แกน  ลักษณะเป็นซีพียูที่มีแกนประมวลผล 4 แกน โดยแต่ละเเกนจะแยกการทำงานกันอย่างอิสระเพิ่มขี้นถึง 4 เท่า
หลักการทำงานของ CPU
 มีหน่วยสำคัญอยู่  2  หลักการคือ
  1. หน่วยควบคุม
        คือ  เป็นหน่วยที่ทำหน้าที่ประสานงานและควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์ ควบคุมให้อุปกรณ์รับข้อมูล ส่งข้อมูลไปที่หน่วยความจำ ติดต่อกับอุปกรณ์แสดงผลเพื่อสั่งให้นำข้อมูลจากหน่วยความจำไปยังอุปกรณ์แสดงผล
 2. หน่วยคำนวณและตรรกะ
        คือ  เป็นหน่วยที่ทำหน้าที่ในการคำนวณต่างๆทางคณิตศาสตร์ ได้แก่ บวก  ลบ  คูณ  หาร
หลักการทำงานของ CPUโดยวงรอบของการทำคำสั่งของซีพียูประกอบด้วยขั้นตอนการทำงานพื้นฐาน 4 ขั้นตอนดังนี้
        1. ขั้นตอนการรับเข้าข้อมูล  ( fatch )เริ่มแรกหน่วยควบคุมรับรหัสคำสั่งและข้อมูลที่จะประมวลผลจากหน่วยความจำ
        2. ขั้นตอนการถอดรหัส ( decode )
เมื่อรหัสคำสั่งเข้ามาอยู่ในซีพียูแล้ว หน่วยควบคุมจะถอดรหัสคำสั่งแล้วส่งคำสั่งและข้อมูลไปยังหน่วยคำนวณและตรรกะ
        3. ขั้นตอนการทำงาน ( execute )
หน่วยคำนวณและตรรกะทำการคำนวณโดยใช้ข้อมูลที่ได้รับการถอดรหัสคำสั่ง และทราบแล้วว่าต้องการทำอะไร ซีพียูก็จะทำตามคำสั่งนั้น
        4. ขั้นตอนการเก็บ ( store )
หลังจากทำคำสั่ง ก็จะเก็บผลลัพธ์ที่ได้ไว้ในหน่วยความจำ
0

การทำงานของเมนบอร์ด

เมนบอร์ด




เมนบอร์ดเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญรองมาจากซีพียู เมนบอร์ดทำหน้าที่ควบคุม ดูแลและจัดการๆ ทำงานของ อุปกรณ์ชนิดต่างๆ แทบทั้งหมดในเครื่องคอมพิวเตอร์ ตั้งแต่ซีพียู ไปจนถึงหน่วยความจำแคช หน่วยความจำหลัก ฮาร์ดดิกส์ ระบบบัส บนเมนบอร์ดประกอบด้วยชิ้นส่วนต่างๆ มากมายแต่ส่วนสำคัญๆ ประกอบด้วย

1. ชุดชิพเซ็ต
          ชุดชิพเซ็ตเป็นเสมือนหัวใจของเมนบอร์ดอีกที่หนึ่ง เนื่องจากอุปกรณ์ตัวนี้จะมีหน้าที่หลักเป็นเหมือนทั้ง อุปกรณ์ แปลภาษา ให้อุปกรณ์ต่างๆ ที่อยู่บนเมนบอร์ดสามารถทำงานร่วมกันได้ และทำหน้าที่ควบคุม อุปกรณ์ต่างๆ ให้ทำงานได้ตามต้องการ โดยชิพเซ็ตนั้นจะประกอบด้วยชิพเซ็ตนั้นจะประกอบไปด้วยชิพ 2 ตัว คือชิพ System Controller และชิพ PCI to ISA Bridg
e
          ชิพ System Controller หรือ AGPSET หรือ North Bridge เป็นชิพที่ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของ อุปกรณ์หลักๆ ความเร็วสูงชนิดต่างๆ บนเมนบอร์ดที่ประกอบด้วยซีพียู หน่วยความจำแคชระดับสอง (SRAM) หน่วยความจำหลัก (DRAM) ระบบกราฟิกบัสแบบ AGP และระบบบัสแบบ PCI
          ชิพ PCI to ISA Bridge หรือ South Bridge จะทำหน้าที่เป็นอุปกรณ์ที่ใช้เชื่อมต่อกันระหว่างระบบบัสแบบ PCI กับอุปกรณ์อื่นๆ ที่มีความเร็วในการทำงานต่ำกว่าเช่นระบบบัสแบบ ISA ระบบบัสอนุกรมแบบ USB ชิพคอนโทรลเลอร์ IDE ชิพหน่วยความจำรอมไออส ฟล็อบปี้ดิกส์ คีย์บอร์ด พอร์ตอนุกรม และพอร์ตขนาน

          ชุดชิพเซ็ตจะมีอยู่ด้วยกันหลายรุ่นหลายยี่ห้อโดยลักษณะการใช้งานจะขึ้น อยู่กับซีพียูที่ใชเป็นหลัก เช่นชุด ชิพเซ็ตตระกูล 430 ของอินเทลเช่นชิพเซ็ต 430FX, 430HX 430VX และ 430TX จะใช้งานร่วมกับซีพียู ตระกูลเพนเทียม เพนเที่ยม MMX, K5, K6, 6x86L, 6x86MX (M II) และ IDT Winchip C6 ชุดชิพเซ็ต ตระกูล 440 ของอิเทลเช่นชิพเซ็ต 440FX, 440LX, 440EX และชิพเซ็ต 440BX จะใช้งานร่วมกับ ซีพียูตระกูลเพนเที่ยมโปร เพนเที่ยมทู และเซลเลอรอน และชุดชิพเซ็ตตระกูล 450 ของอินเทลเช่นชุดชิพเซ็ต 450GX และ 450NX ก็จะใช้งานร่วมกับซีพียูตระกูลเพนเที่ยมทูซีนอนสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ ระดับ Server หรือ Workstation นอกจากนี้ยังมีชิพเซ็ตจากบริษัทอื่นๆ อีกหลายรุ่นหลายยี่ห้อที่ถูกผลิตออกมา แข่งกับอินเทลเช่นชุดชิพเซ็ต Apollo VP2, Apollo VP3 และ Apollo mVp3 ของ VIA, ชุดชิพเซ็ต Aladin IV+ และ Aladin V ของ ALi และชุดชิพเซ็ต 5597/98, 5581/82 และ 5591/92 ของ SiS สำหรับซีพียูตระกูลเพนเที่ยม เพนเที่ยม MMX, K5, K6, 6x86L, 6x86MX (M II) และ IDT Winchip C6 ชุดชิพเซ็ต Apollo BX และ Apollo Pro ของ VIA, ชุดชิพเซ็ต Aladin Pro II M1621/M1543C ของ ALi และชุดชิพเซ้ต 5601 ของ Sis สำหรับซีพียูตระกูลเพนเที่ยมทู และเซลเลอรอน ซึ่งชิพเซ้ตแต่ละรุ่น แต่ละยี้ห้อนั้นจะมีจุดดีจุดด้อยแตกต่างกันไป 
Gigabyte-Mainboard

2. หน่วยความจำรอมไบออส และแบตเตอรรี่แบ็คอัพ
          ไบออส BIOS (Basic Input Output System) หรืออาจเรียกว่า ซีมอส (CMOS) เป็นชิพหน่วยความจำชนิด หนึ่งที่ใช้สำหรับเก็บข้อมูล และโปรแกรมขนาดเล็กที่จำเป็นต่อการบูตของระบบคอมพิวเตอร์ โดยในอดีต ส่วนของชิพรอมไบออสจะประกอบด้วย 2 ส่วนคือ ชิพไบออส และชิพซีมอส ซึ่งชิพซีไปออสจะทำหน้าที่ เก็บข้อมูลพื้นฐานที่จำเป็นต่อการบูตของระบบคอมพิวเตอร์ ส่วนชิพซีมอสจะทำหน้าที่ เก็บโปรแกรมขนาดเล็ก ที่ใช้ในการบูตระบบ และสามารถเปลี่ยนข้อมูลบางส่วนภายในชิพได้ ชิพไบออสใช้พื้นฐานเทคโนโลยีของรอม ส่วนชิพซีมอสจะใช้เทคโนโลยีของแรม ดังนั้นชิพไบออสจึงไม่จำเป็นต้องใช้พลังงานไฟฟ้า ในการเก็บรักษาข้อมูล แต่ชิพซีมอส จะต้องการพลังงานไฟฟ้า

ในการเก็บรักษาข้อมูลอยตลอดเวลาซึ่งพลังงานไฟฟ้า ก็จะมาจากแบตเตอรี่แบ็คอัพที่อยู่บนเมนบอร์ด (แบตเตอรี่แบ็คอัพจะมีลักษณะเป็นกระป๋องสีฟ้า หรือเป็นลักษณะกลมแบนสีเงิน ซึ่งภายในจะบรรจุแบตเตอรรี่แบบลิเธี่ยมขนาด 3 โวลต์ไว้) แต่ตอ่มาในสมัย ซีพียตระกูล 80386 จึงได้มีการรวมชิพทั้งสองเข้าด้วยกัน และเรียกชื่อว่าชิพรอมไบออสเพียงอย่างเดียว และการที่ชิพรอมไบออสเป็นการรวมกันของชิพไบออส และชิพซีมอสจึงทำให้ข้อมูลบางส่วนที่อยู่ภายใน ชิพรอมไบออส ต้องการพลังงานไฟฟ้าเพื่อรักษาข้อมูลไว้ แบตเตอรี่แบ็คอัพ จึงยังคงเป็นสิ่งจำเป็นอยู่จนถึง ปัจจุบัน จึงเห็นได้ว่าเมื่อแบตเตอรี่แบ็คอัพเสื่อม หรือหมดอายุแล้วจะทำให้ข้อมูลที่คุณเซ็ตไว้ เช่น วันที่ จะหายไปกลายเป็นค่าพื้นฐานจากโรงงาน และก็ต้องทำการเซ้ตใหม่ทุกครั้งที่เปิดเครื่อง เทคโนโลยีรอมไบออส 

ในอดีต หน่วยความจำรอมชนิดนี้จะเป็นแบบ EPROM (Electrical Programmable Read Only Memory) ซึ่งเป็นชิพหน่วยความจำรอม ที่สามารถบันทึกได้ โดยใช้แรงดันกระแสไฟฟ้าระดับพิเศษ ด้วยอุปกรณ์ ที่เรียกว่า Burst Rom และสามาถลบข้อมูลได้ด้วยแสงอุตราไวโอเล็ต ซึ่งคุณไม่สามารถอัพเกรดข้อมูลลงในไบออสได้ ด้วยตัวเองจึงไม่ค่อยสะดวกต่อการแก้ไขหรืออัพเกรดข้อมูลที่อยู่ในชิพรอมไบออ ส แต่ต่อมาได้มีการพัฒนา เทคโนโลยชิพรอมขึ้นมาใหม่ ให้เป็นแบบ EEPROM หรือ E2PROM โดยคุณจะสามารถทั้งเขียน และลบข้อมูล ได้ด้วยกระแสไฟฟ้าโดยใช้ซอฟต์แวร์พิเศษ ได้ด้วยตัวเองอย่างง่ายดายดังเช่นที่เราเห็นกันอยู่ในปัจจุบัน

3. หน่วยความจำแคชระดับสอง
          หน่วยความจำแคชระดับสองนั้นเป็นอุปกรณ์ ตัวหนึ่งที่ทำหน้าเป็นเสมือนหน่วยความจำ บัฟเฟอร์ให้กับซีพียู โดยใช้หลักการที่ว่า การทำงานร่วมกับอุปกร์ที่ความเร็วสูงกว่า จะทำให้เสียเวลาไปกับการรอคอยให้อุปกรณ์ ที่มีความเร็วต่ำ ทำงานจนเสร็จสิ้นลง เพราะซีพียูมีความเร็วในการทำงานสูงมาก การที่ซีพียูต้องการข้อมูล ซักชุดหนึ่งเพื่อนำไปประมวลผลถ้าไม่มีหน่วยความจำแคช
0

การทำงานของจอภาพ

จอภาพ




จอภาพ Monitor เป็นอุปกรณ์แสดงผลที่มีชื่อเรียกมากมาย เช่น Monitor, CRT (Cathode Ray Tube) สามารถแบ่งได้หลายรูปแบบ เช่น แบ่งเป็นจอแบบตัวอักษร (Text) กับจอแบบกราฟิก (Graphic) โดยจอภาพแบบตัวอักษรจะมีหน่วยวัดเป็นจำนวนตัวอักษรต่อบรรทัด เช่น 80 ตัวอักษร 25 บรรทัด สำหรับจอภาพแบบกราฟิก จะมีหน่วยวัดเป็นจุด (Pixel) เช่น 640 pixel x 480 pixel
ลักษณะภายนอกของจอภาพก็คล้ายๆ กับจอโทรทัศน์นั่นเอง สิ่งที่แสดงออกทางจอภาพมีทั้งข้อความ ภาพนิ่ง และภาพเคลื่อนไหว โดยรับข้อมูลจากการ์ดแสดงผล (Video Card, Video Adapter) ซึ่งเป็นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ที่เสียบบนเมนบอร์ด ทำหน้าที่นำข้อมูลจากหน่วยประมวลผล มาแปลงเป็นสัญญาณภาพ แล้วส่งให้จอภาพแสดงผล
ปัจจุบันมีการพัฒนาจอภาพออกมาหลากหลายลักษณะ โดยเน้นที่จำนวนสี ความละเอียด ความคมชัด การประหยัดพลังงาน โดยสามารถแบ่งประเภทจอภาพ ที่ใช้ในปัจจุบันได้กลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้
  1. จอภาพสีเดียว (Monochrome Monitor) 
    จอภาพที่รับสัญญาณจากการ์ดควบคุม ในลักษณะของสัญญาณดิจิตอล คือ 0 กับ 1 โดยการกวาดลำอิเล็กตรอนไปตกหน้าจอ แล้วเกิดเป็นจุดเรืองแสง จะให้สัญญาณว่าจุดไหนสว่าง จุดไหนดับ จอภาพสีเดียวเวลานี้ไม่มีผู้นิยมแล้ว
  2. จอภาพหลายสี (Color Monitor) 
    จอภาพที่รับสัญญาณดิจิตอล 4 สัญญาณ คือ สัญญาณของสีแดง, เขียว, น้ำเงิน และสัญญาณความสว่าง ทำให้สามารถแสดงสีได้ 16 สี ถึง 16 ล้านสี
  3. จอภาพแบบแบน (LCD; Liquid Crystal Display) 
    จอภาพผลึกเหลวใช้งานกับคอมพิวเตอร์ประเภทพกพาเป็นส่วนใหญ่ เป็นแบ่งได้เป็น
    1. Active matrix จอภาพสีสดใสมองเห็นจากหลายมุม เนื่องจากให้ความสว่าง และสีสันในอัตราที่สูง มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า TFT – Thin Film Transistor และเนื่องจากคุณสมบัติดังกล่าว ทำให้ราคาของจอประเภทนี้สูงด้วย
    2. Passive matrix color จอภาพสีค่อนข้างแห้ง เนื่องจากมีความสว่างน้อย และสีสันไม่มากนัก ทำให้ไม่สามารถมองจากมุมมองอื่นได้ นอกจากมองจากมุมตรง เรียกอีกชื่อได้ว่า DSTN – Double Super Twisted Nematic
        การทำงานของจอภาพ เริ่มจากการกระตุ้นอุปกรณ์หลอดภาพให้ร้อน เกิดเป็นอิเล็กตรอนขึ้น และถูกยิงด้วยปืนอิเล็กตรอน ให้ไปยังจุดที่ต้องการแสดงผลบนจอภาพ ซึ่งที่จอภาพจะมีการเคลือบสารฟอสฟอรัสเรืองแสง เมื่ออิเล็กตรอนเหล่านี้วิ่งไปชน ก็จะทำให้เกิดแสงสว่าง ซึ่งจะประกอบกันเป็นรูปภาพ ในการยิงลำแสดงอิเล็กตรอน มันจะเคลื่อนที่ไปตามแนวขวาง จากนั้นเมื่อกวาดภาพ มาถึงสุดขอบด้านหนึ่ง ปืนลำแสงก็จะหยุดยิง และ ปรับปืนอิเล็กตรอนลงมา 1 line และ เคลื่อนที่ไปยังขอบอีกด้านหนึ่ง และทำการยิ่งใหม่ ลักษณะการยิงจึงเป็นแบบฟันเลื่อย
        ปัจจุบันกระแสจอแบน ได้เข้ามาแซงจอธรรมดา โดยเฉพาะประเด็นขนาดรูปทรง ที่โดดเด่น ประหยัดพื้นที่ในการวาง รวมทั้งจุดเด่นของจอภาพแบน ก็คือประหยัดพลังงาน โดยจอภาพขนาด 15 - 17 นิ้ว ใช้พลังงานเพียง 20 - 30 วัตต์ และจะลดลงเหลือ 5 วัตต์ในโหมด Standby ในขณะที่จอธรรมดา ใช้พลังงานถึง 80 - 100 วัตต์
0

การทำงานของการ์ดจอ

การ์ดจอ

การ์ดจอ หรือ ชิปกราฟิค (GPU : Graphics Processing unit) โดยคำที่ได้ยินบ่อยเวลาเราไปเดินเลือกซื้อโน๊ตบุ๊ค คือ การ์ดจอแยก หมายถึงโน๊ตบุ๊คเครื่องนั้นได้ติดตั้งการ์ดจอแยกมาที่ตัวเครื่อง โดยจะทำให้โน๊ตบุ๊คเครื่องนั้นมีประสิทธิภาพในการประมวลผลภาพที่มากขึ้นนั่นเอง เช่น การเล่นเกม 3 มิติรุ่นใหม่ๆ หรือจะเป็นการทำงานด้านการออกแบบต่างๆ  ซึ่งการทำงานของการ์ดจอแยกนั้น จะมีประสิทธิภาพที่ดีกว่า การ์ดจอออนบอร์ดที่สามารถใช้งานได้ขั้นพื้นฐานเท่านั้น แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อดีเลยซะทีเดียว ถึงแม้จะใช้งานได้ทั่วๆไปก็ตาม การ์ดจอออนบอร์ดก็ประหยัดไฟกว่าการ์ดจอแยกครับ

อย่างไรก็ตามผู้ซื้อนีตบุ๊คจะไม่สามารถกำหนดสเปคตามที่ตัวเองต้องการได้ เพราะผู้ผลิตได้กำหนดมาจากโรงงานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้น การเลือกซื้อโน๊ตบุ๊คพร้อมการ์ดจอที่ถูกใจ จำเป็นต้องพิจารณาดีๆ ในหลายส่วนประกอบกัน ก่อนที่จะตัดสินซื้อ เพราะการ์ดจอก็สำคัญไม่แพ้ ซีพียู เช่นกัน

การ์ดจอ ออนบอร์ด


การ์ดจอออนบอร์ดส่วนใหญ่จะพบในโน๊ตบุ๊ค 2 กลุ่มหลักๆคือ โน๊ตบุ๊คราคาประหยัด และโน๊ตบุ๊คที่เน้นพกพานั่นเองครับ โดยโน๊ตบุ๊คทั้ง 3 กลุ่มนั้นมีราคาที่แตกต่างกันออกไป สำหรับโน๊ตบุ๊คราคาประหยัดนั้นเลือกใช้การ์จอออนบอร์ดก็เพื่อลดต้นทุนในการผลิต  และส่วนอื่นๆภายในตัวเครื่องก็จะมีต้นทุนไม่สูงมากนัก จึงมีประสิทธิภาพในการทำงานขั้นพื้นฐานเท่านั้น แต่ในปัจจุบันก็มีการ์ดจอ ออนบอร์ดที่สามารถเล่นเกมได้แล้ว คือ Intel GMA 3000 รุ่นใหม่จากIntel ที่สามารถเล่นเกมระดับกลางๆ ได้ ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมอยู่ในขณะนี้

ในส่วนของโน๊ตบุ๊ตสำหรับพกพา จะเน้นในเรื่องของการประหยัดพลังงาน จึงนิยมใช้การ์ดจอประหยัดพลังงานควบคุ่ไปกับส่วนประกอบอื่นๆ ที่มีประสิทธิภาพในการประหยัดพลังงานสูงกว่าโน๊คบุ๊คทั่วๆไป จึงทำให้โน๊ตบุ๊คกลุ่มนี้มีราคาที่สูงขึ้นตามไปด้วย โดยการใช้งานในการ์ดจอระดับนี้จะเหมาะกับการใช้งานเบาๆ เช่น ดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกมบนเว็บไซต์ พิมพ์งานเอกสาร เป็นต้น ไปดูกันดีกว่าครับว่ามีการ์ดจอแบบออนบอร์ดรุ่นไหน น่าสนใจกันบ้าง

ตัวอย่างการ์ดจอ ออนบอร์ด


จากรูปจะเห็นว่าการ์ดจอแบบออนบอร์ดจาก Intel จะได้คะแนนมากที่สุดในตอนนี้
เนื่องจากเป็นการ์ดจอรุ่นใหม่กว่ารุ่นอื่นๆ จึงทำให้การประมวลผลภาพทำออกมาได้ดีนั่นเอง

ตัวอย่างสเปคการ์ดจอ ออนบอร์ด



การ์ดจอแยก

สำหรับการ์ดจอแยกนั้นจะพบในโน๊ตบุ๊คที่มีประสิทธิภาพสูงพอสมควร เนื่องจากการ์ดจอแบบแยกมีต้นทุนการผลิตที่สูงกว่าการ์ดจอแบบออนบอร์ด  จึงทำให้โน๊ตบุ๊คที่มีการ์ดจอแบบแยก จะมีราคาที่สูงตามขึ้นไปด้วย อย่างไรก็ตามราคาที่เพิ่มขึ้นมาของการ์ดจอแบบแยกนั้น สิ่งที่ได้กลับมาก็คือประสิทธิภาพในการประมวลผลภาพที่สูงขึ้นตามไปด้วย เพราะการ์ดจอแบบแยกทำงานได้รวดเร็วกว่า และมีประสิทธิภาพที่มากกว่าการ์ดจอแบบออนบอร์ด ทำให้การใช้งานหนักๆ ไม่มีติดขัดแต่อย่างใด ไม่ว่าจะเป็นการเล่นเกมภาพแบบ 3มิติ หรือจะเป็นการทำงานด้านตัดต่อ หรือ กราฟิค ที่มีความละเอียดสูง ก็สามารถทำได้อย่างไม่มีติดขัด แต่สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย ก็คือร์ดจอแบบแยกมีอัตราการกินไฟที่เยอะกว่าการ์ดจอแบบออนบอร์ดทำให้ระยะเวลาการใช้งานของแบตเตอรี่มีน้องลง และยังมีความร้อนที่สูงกว่าอีกด้วย อย่างไรก็ตามการ์ดจอแบบแยกก็ยังเป็นที่นิยมในปัจจุบันอยู่ดี สำหรับยี่ห้อที่เป็นที่นิยมอยู่ในขณะนี้คงจะเป็นใครไม่ได้นอกเสียจาก 2 ยักษ์ใหญ่ อย่าง nVidia และ AMD/ATI ที่เป็นคู่แข่งกันตลอดมา


การ์ดจอแบบแยก ระดับสูง

จุดเด่นของการ์ดจอรุ่นนี้ คงจะเป็นในเรื่องการการเล่นเกม เพราะการ์ดจอระดับนี้จะมีการประมวลผลภาพที่ดีกว่าการ์ดจอรุ่นอื่นๆ อย่างมาก คะแนนที่ได้จากการทดสอบก็เช่นกัน ค่อนข้างจะทำออกมาได้ดีกว่า แต่ก็ต้องแลกมาด้วยราคาที่แพง และอัตราการใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ที่มากกว่าการ์ดจอรุ่นอื่นๆ อย่างไรก็ตามถ้าเสียบปลั๊กเวลาใช้งานก็คงไม่เกิดผลเสียแต่อย่างใดครับ ซึ่งแน่นอนว่าในปัจจุบันนี้มีเทคโนโลยีใหม่ๆเข้ามารองรับแล้ว เช่น เทคโนโลยีจากค่ายnVidia ที่พัฒนาเทคโนโลยีในชื่อว่า nVidia Optimus ออกมาเพื่อทำงานร่วมกับซีพียู ช่วยในเรื่องการประหยัดพลังงาน คือ เวลาเราใช้งานไม่หนักมากเครื่องจะใชการ์ดจอแบบออนบอร์ด แต่ถ้าเราใช้งานการประมวลผลที่เยอะมากๆ เครื่องก็จะใช้งานการ์ดจอแบบแยกนั่นเอง โดยเครื่องจะประมวลผลจากการใช้งานของเราครับ เหมาะกับผู้ที่จะซื้อไปเล่นเกมแบบโหดๆ ตัดต่อ หรือต้อใช้งานในการประมวลผลภาพสูงครับ ไปดูกันดีกว่าครับ ว่าการ์ดจอแบบแยกในรุ่นนี้มีรุ่นไหนที่น่าสนใจกันบ้าง

ตัวอย่างการ์ดจอแยกระดับสูง


สำหรับการ์ดจอแบบแยก ระดับสูงนี้ ATI เป็นผู้นำ เนื่องจากคะแนนโดยรวมทำออกมาได้ดีกว่ารุ่นอื่นๆครับ
และทาง nVidia ก็ทำคะแนนออกมาได้ดีไม่แพ้กันเลย

ตัวอย่างสเปคการ์จอ ระดับสูง



การ์ดจอแบบแยก ระดับกลาง

สำหรับการ์ดจอในรุ่นนี้ก็จะมีประสิทธิภาพด้อยกว่าการ์ดจอแบบแยกระดับสูง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำอะไรไม่ได้เลย เพราะการ์ดจอในรุ่นนี้ก็ยังทำงานได้ดีไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็น เล่นเกม(แต่เกมอาจจะอยู่ในระดับกลางๆ) ตัดต่อ ก็ยังสามารถทำได้เช่นกัน แถมยังมีราคาที่ถูกกว่า และอัตราการกินไฟก็น้อยกว่าอีกด้วย อย่างไรก็ตามประสิทธิภาพก็คงจะอยู่ในระดับกลางครับ ไม่สามารถเทียบกับระดับสูงได้ เหมาะกับผู้ซื้อที่นำไปเล่นเกมระดับกลาง ตัดต่อ หรือใช้งาน Photo shop ในระดับนึงครับ มาดูกันดีกว่าครับว่า การ์ดจอแบบแยกในระดับนี้มีรุ่นไหนน่าสนใจกันบ้าง

ตัวอย่างการ์ดจอแยก ระดับกลาง


สำหรับในรุ่นนี้ nVidia มาแรงตามคาด แต่คะแนนจาก AMD จะมากที่สุด
แน่นอนว่า อันดับ และ คะแนน ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพการทำงานโดยรวมด้วยครับ

ตัวอย่างสเปคการ์ดจอ ระดับกลาง



การ์ดแบบแยก ระดับพื้นฐาน

สำหรับการ์ดจอแบบแยกในระดับนี้ จะมีประสิทธิภาพอยู่ในระดับทั่วไป เพียงพอต่อการใช้งานขั้นพื้นฐานอย่างการ ดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกมบน FaceBook และท่องเว็บไซต์ และจะมีราคาที่ถูกกว่ารุ่นที่ผ่านมาอยู่พอสมควร เหมาะกับน้องๆนักเรียน นักศึกษา ที่จะซื้อไปพิมพ์งานเอกสาร นำเสนอรายงานหน้าชั้นเรียน จะไม่เหมาะกับการนำไปใช้งานประมวลผลหนักๆ เช่น เล่นเกม 3มิติ หรือตัดต่อ เพราะความเร็วในการประมวลผลของการ์ดในระดับนี้จะช้ากว่ารุ่นที่ผ่านมาครับ ไปดูกันดีกว่าครับว่า การ์ดจอในระดับนี้ มีรุ่นไหนที่ แจ่มๆ น่าใช้กันบ้าง

ตัวอย่างการ์ดจอ ระดับพื้นฐาน



มาถึงในรุ่นนี้ AMD แซงในโค้งสุดท้ายครับ โดยทำผลคะแนนโดยรวมได้ดีกว่า
จึงทำได้ให้อันดับ 1 ไปครองนั่นเอง

ตัวอย่างสเปคการ์ดจอ ระดับพื้นฐาน